แฟ้มสินค้า
เมนู สินค้าคงคลัง >> สินค้า
หรือ ปุ่มสินค้า
แฟ้มสินค้าเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เพราะท่านจะไม่สามารถซื้อหรือขายสินค้าได้เลย ถ้ายังไม่ได้สร้างข้อมูลในส่วนนี้
รายละเอียดของสินค้า
ประกอบด้วย
1.
รหัสสินค้า
ตั้งได้ไม่เกิน 15 ตัวอักษร และต้องเป็นตัวอักษร A-Z, 0-9, เครื่องหมาย / # เท่านั้น
2.
ชื่อสินค้า
ชื่อหรือคำอธิบายสินค้า
ตั้งได้ไม่เกิน 60 ตัวอักษร
3.
คำย่อ
ชื่อสินค้าที่พิมพ์บนใบเสร็จกระดาษม้วน (Receive Ticket) ถ้าท่านไม่ได้ระบบ
POS ก็ไม่ต้องสนใจส่วนนี้
4.
กลุ่มสิืนค้า
แสดงกลุ่มของสินค้า ไม่สามารถแก้ไขได้ในหน้ารายละเอียด
ดูเพิ่มเติมได้ที่ การย้ายสินค้าไปไว้กลุ่มอื่น
5.
คิดภาษีมูลค่าเพิ่ม
กำหนดว่าสินค้าตัวนี้ คิดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ (คิด vat หรือไม่)
6.
คุมซีเรียล
s/n
กำหนดว่าสินค้าตัวนี้ คุมซีเรียลนัมเบอร์หรือไม่ (สินค้ามีประกัน)
สามารถกำหนดค่าดีฟอลด์ได้ใน กำหนดค่าเริ่มต้นระบบ>>กำหนดค่า>>ตัวเลือกสำหรับสินค้าใหม่
ถ้ากำหนดเป็นสินค้าคุมซีเรียล
โปรแกรมจะป้อนซีเรียลนัมเบอร์ด้วยทุกครั้งที่มีการซื้อการขายสินค้าตัวนี้
7.
หน่วยนับสต็อก
กำหนดนับสต็อกสำหรับสินค้าตัวนี้
ส่วนใหญ่จะกำหนดเป็นหน่วยย่อยที่สุด เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีขายทั้งแบบซอง
และแบบโหล การกำหนดหน่วยสต็อกก็ควรกำหนดเป็นซอง
8.
ผู้จำหน่าย
กำหนดผู้จำหน่ายหลักของสินค้าตัวนี้
บางครั้งสินค้า 1 ตัว อาจจะซื้อจากผู้จำหน่ายหลายราย
แต่ให้กำหนดผู้จำหน่ายที่ซื้อประจำที่สุดสำหรับสินค้าตัวนี้
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการออกรายงานในอนาคต
9.
วันที่เริ่มขาย
กำหนดวันที่เริ่มขายของสินค้าตัวนี้
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการออกรายงานในอนาคต
10.
เลิกผลิต
กำหนดว่าสินค้าตัวเลิกผลิตแล้วหรือไม่
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการออกรายงานในอนาคต
11.
ราคาทุนมาตรฐาน
ราคาทุนมาตรฐาน
คือ ราคาต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าโดยประมาณ
โดยปกติสินค้า 1 ตัว อาจจะซื้อมาด้วยราคาในแต่ละล็อตที่ไม่เท่ากัน เช่น
น้ำข้นหวาน
ซื้อ วันที่ 10/5/2005 ราคากระป๋องละ 10.00 บาท
ซื้อ วันที่ 20/5/2005 ราคากระป๋องละ 10.50 บาท
ซื้อ วันที่ 25/5/2005 ราคากระป๋องละ 10.00 บาท
กรณีเช่นนี้ ท่านอาจจะตั้งราคาทุนมาตรฐานเอาไว้ที่ 10.00 บาท
ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการคำนวณต้นทุนในระบบ
เพราะว่าโปรแกรมจะคำนวณต้นทุนตามที่ท่านซื้อมาจริง สำหรับราคาทุนมาตรฐานนั้น
โปรแกรมจะนำไปใช้ก็ต่อเมื่อมีสินค้าที่ยังไม่ได้ทำเอกสารการซื้อสินค้า
แต่มีการขายออกไปก่อนแล้ว ทำให้โปรแกรมไม่ทราบต้นทุนที่แท้จริง
จึงจำเป็นต้องดึงเอาราคาทุนมาตรฐานไปใช้แทนก่อนชั่วคราว
หลังจากนั้นถ้ามีการทำเอกสารการซื้อสินค้า โปรแกรมก็จะดึงราคาทุนที่ี่แท้จริงตามเอกสารให้อัตโนมัติ
12.
วิธีคำนวณต้นทุน
กำหนดวิธีการคำนวณต้นทุนว่าเป็นแบบ Average (ถัวเฉลี่ย) หรือ FIFO (เข้าก่อนออกก่อน)
โดยทั่วไปถ้าเป็นธุรกิจค้าปลีกประเภท มินิมาร์ท ร้านหนังสือ เสื้อผ้ารองเท้า
ที่มีหน้าร้านและใช้ระบบ POS มักจะกำหนดเป็นแบบ Average
แต่ถ้าเป็นร้านขายฮาร์ดแวร์ที่มีต้นทุนของสินค้าในแต่ละล็อตค่อนข้างเปลี่ยนแปลงบ่อยก็จะใช้แบบ
FIFO
13.
รูปภาพสินค้า
ท่านสามารถใส่รูปภาพของสินค้าได้โดยการ
คลิกขวาที่กรอบรูปภาพ คลิก Load เลือกรูปภาพที่ต้องการโดยมีเงื่อนไขว่า
14.
ประเภทสินค้า
กำหนดได้ 4 แบบ คือ
สินค้าทั่วไป
สินค้าชุดแบบที่ 1 (คุมสต็อกที่รหัสแม่)
สินค้าชุดแบบที่ 2 (คุมสต็อกที่รหัสลูก)
บริการ (ไม่คุมสต็อก)
กรณีที่กำหนดเป็นสินค้าชุด ให้กดปุ่ม บันทึก ทันที โปรแกรมจะแสดงหน้า รายการในชุด
ที่ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อให้ท่านกำหนดรายการสินค้าที่ประกอบในชุด
การเพิ่มรายการสินค้าในชุด
คลิกปุ่ม เพิ่ม โปรแกรมจะแสดงรายการสินค้าให้เลือก ท่านสามารถสินค้าที่ประกอบในชุดกี่รายการก็ได้
เมื่อท่านได้สินค้าเข้ามาอยู่ในรายการครบแล้ว
ให้กำหนดจำนวนของสินค้าที่นำมาประกอบในแต่ละรายการ ดังภาพ
รายละเอียดสินค้า
ทางด้านล่างของหน้าจอท่านจะพบหน้ารายละเอียดสินค้า
ท่านสามารถบันทึกคำอธิบายหรือคุณสมบัติืของตัวสินค้าได้ที่นี่ จำกัด 1000 ตัวอักษร
และโปรแกรมจะนำรายละเอียดนี้ไปแสดงให้อัตโนมัติตอนทำใบเสนอราคาขายสินค้า
เพื่อให้ท่านไม่ต้องเสียเวลามาป้อนใหม่ทุกครั้งที่ทำใบเสนอราคา
การกำหนดบาร์โค้ดสินค้า
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การขายสินค้าเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว
โดยใช้ร่วมกับเครื่องอ่านบาร์โค้ด (Barcode reader)
สำหรับกิจการที่ไม่ได้ใช้ระบบ POS หรือไม่มีบาร์โค้ดที่ผลิตภัณฑ์หรือยังไม่พร้อมที่จะใช้ระบบบาร์โค้ด
ท่านก็สามารถใช้รหัสสินค้าแทนบาร์โค้ดไปก่อนก็ได้
กรณีที่ท่านต้องการใช้ระบบบาร์โค้ดมาช่วยในการขาย ท่านสามารถซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดขนาดเล็ก พิมพ์สติ๊กเกอร์บาร์โค้ดติดผลิตภัณฑ์ได้เอง
สินค้า 1 ตัว สามารถมีได้หลายบาร์โค้ด หลายหน่วยขาย เช่น ขายเป็นชิ้น ขายเป็นโหล
รายละเอียดในตารางบาร์โค้ด
ราคาสินค้า
การกำหนดราคาขายสินค้า
จะกำหนดแยกตามบาร์โค้ด โดยมีให้ถึง 4 ราคา โดยท่านอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายกรณี
เช่น
ราคาที่ 1 คือ ราคาขายปกติ
ราคาที่ 2 คือ ราคาสมาชิก
ราคาที่ 3 คือ ราคาพนักงาน
ราคาที่ 4 คือ ...